เวลาที่เราทำงานอยู่ในระบบของกระบวนการผลิต ทำให้เรารู้ว่าขนาดของเครื่องอัดอากาศ (Air Compressor Size) นั้นมีความสำคัญแค่ไหน เพราะปริมาณลม (flow volume) และแรงดัน (Pressure) ที่ออกมากจากเครื่องอัดอากาศนั้น จะส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิตอย่างเห็นได้ชัด
หากคุณกำลังมองหาเครื่องอัดอากาศ (Air Compressor) เครื่องใหม่หรือจัดหาเครื่องใหม่เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต คุณอาจต้องรู้รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องของแรงดัน (Pressure) และปริมาณการไหล (Flow) ให้เหมาะสมกับการใช้งานตามจุดต่างๆ ที่คุณจะนำลมไปใช้รวมไปถึงความต้องการของปริมาณลมอัด (air demand) ด้วย ดังนั้นขนาดของเครื่องอัดอากาศจึงมีความสำคัญมากสำหรับปัจจัยหลักในการเลือกซื้อเครื่องอัดอากาศในโรงงาน
เครื่องอัดอากาศที่ขนาดเล็กเกินไป (Undersize Compressor)
การที่เครื่องอัดอากาศ (air compressor) มีขนาดเล็กเกินไปนั้นจะทำให้เครื่องมีการใช้งานตลอดเวลา คุณอาจประสบปัญหาเรื่องของแรงดันตกหรือเครื่องจักรหยุดทำงานได้เพราะมีการใช้งานเกินกำลังของเครื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่ใช้เครื่องอัดอากาศแบบโรตารี่ (Rotary Compressor) และ เครื่องอัดอากาศแบบลูกสูบ (Piston Compressor) ทั้งสองชนิดนี้ไม่ได้ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับการทำงานตลอด 24 ชม. ดังนั้นมันจะส่งผลกระทบต่อการผลิตได้ในระยะยาว
เครื่องอัดอากาศที่มีขนาดใหญ่เกินไป (Oversize Compressor)
หากคุณรู้สึกว่าเครื่องอัดอากาศของคุณมีการทำงาน (load) และหยุดทำงาน (unload) บ่อยเกินไป บางครั้งอาจเกิดจากเครื่องอากาศสามารถผลิตกำลังลมอัดได้ตามปริมาณความต้องการใช้ลมแล้วเครื่องจึงหยุดทำลม หรือเราเรียกว่าเครื่องอยู่ในสภาวะ unload คุณรู้ไหมหากเครื่องอัดอากาศมีการทำงานบ่อยครั้งทำให้เกิดการเสียค่าไฟเพิ่มขึ้น เปรียบเหมือนเราสตาร์ทรถบ่อยๆ ทำให้เราสูญเสียน้ำมันมากขึ้น สิ่งที่อาจส่งผลเสียในระยะยาวหากคุณมีเครื่องอัดอากาศที่ใหญ่เกินไปนั้นจะส่งผลให้เกิดความผิดปกติของมอเตอร์ไปจนถึงกลไกในระบบอัดอากาศอีกด้วย
การที่คุณสามารถรับรู้และเข้าใจถึงปริมาณการใช้ลมอัดที่ถูกต้องจะช่วยให้สามารถรับมือและลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาวได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งยังช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่าตั้งเริ่มต้นในการเลือกซื้อขนาดเครื่องอัดอากาศที่เหมาะสมและค่าไฟฟ้าในโรงงานด้วย ลองติดต่อหาผู้เชี่ยวชาญเพื่อปรึกษาหรือตรวจเช็คปริมาณการใช้ลมอย่างละเอียดเพื่อการลดต้นทุนการผลิตของโรงงานคุณ